เทศน์เช้า

ไก่ได้พลอย

๑๑ ก.พ. ๒๕๔๔

 

ไก่ได้พลอย
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

เทศน์เช้า วันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๔
ณ วัดสันติธรรมาราม ต.คลองตาคต อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

กบเฝ้ากอบัว ไก่ได้พลอย ว่าไก่ได้พลอยนะ เราเห็นแล้วเราก็ตลก เราเห็นแล้วเราสงสารไง กบเฝ้ากอบัว ไก่ได้พลอย เพราะอะไร? เพราะมันไม่รู้เรื่อง สิ่งที่มันไม่รู้เรื่องน่ะ แต่ไอ้คำพังเพยบางทีนี่ออกมาจากพระไตรปิฎก อย่างเช่นว่าอึ่งเห็นวัวแล้วพยายามจะเบ่งให้เท่าวัวนี่มันมาจากธรรมบทไง เป็นคำกล่าวคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนใจพวกเรา

แต่เราไปมองว่าสัตว์มันไม่รู้เรื่องหรอก ไก่มันได้พลอยมันจะไปสนใจอะไร เพราะมันไม่รู้ แต่เรารู้ พวกเรารู้ นี่มันต้องน้อมเข้ามาหาเราไง ไก่ได้พลอยมันไม่รู้เรื่อง ถ้าย้อนกลับมาหาเรานี่ ท่านเตือนเราต่างหากแต่เอาสิ่งข้างนอกแคนนอนเข้ามาหาเรา ไก่ได้พลอยน่ะ ไก่มันได้พลอยมันได้ข้าวสารดีกว่า มันได้พลอยพลอยมันใช้ทำประโยชน์อะไรไม่ได้

กบเฝ้ากอบัวก็เหมือนกัน มันไม่รู้เรื่องอะไรมันเฝ้าของมันอยู่อย่างนั้น แต่ธรรมชาติของมัน สัญชาตญาณของมัน มันอยู่อย่างนั้น มันต่างหากไม่น่าสงสาร ไอ้คนที่ไปมองเห็นมันน่ะน่าสงสารมากกว่า ไอ้คนที่ไปมองเห็นมันแล้วคิดถึงมัน มันว่าไก่ได้พลอยแล้วมันไม่ได้ประโยชน์ ขอให้มันได้ข้าวสารยังดีกว่าใช่ไหม แต่เราเหมือนกัน นี่กบเฝ้ากอบัว ฝรั่งเขามาคุยกับเรานะว่าเราชาวพุทธนี่อยู่กับศาสนา เฝ้าศาสนาอยู่แต่ไม่ได้ลิ้มรสของศาสนาไง

นี่ก็เหมือนกัน ศาสนานี่เป็นสิ่งที่สูงสุดนะพุทธศาสนานี่ประเสริฐมากเลย แต่เราเข้าไม่ถึง เราก็เหมือนกบเฝ้ากอบัวเหมือนกัน เราต่างหากเปรียบเหมือนกบเฝ้ากอบัว เปรียบเหมือนไก่ได้พลอย มันไม่เข้าใจมันก็อยู่กันไปอย่างนั้น แต่ถ้าอย่างผู้ที่ว่าเข้าถึงธรรมะนั้นน่ะ มันจะเป็นไม่ใช่ว่าไก่ได้พลอย มันจะเป็นว่าเป็นเหมือนกับคนได้พลอย มันยกสถานะของจากสัตว์เดรัจฉานขึ้นมาเลย

สัตว์เดรัจฉานมันอยู่ของมันตามประสาของมัน มันเกิดขึ้นมา มันสูง ๆ ต่ำ ๆ นะ จิตนี้เกิด จิตเวลาพัฒนาขึ้นมามันพัฒนาได้ เหมือนเรานี่ เราอยู่ในบ้านของเรา ใต้ถุนเหลือบที่ไหนที่ว่ามันสกปรกเราก็ต้องมุดแล้วเข้าไปกวาด เวลาเรามุดลงไปนี่เราอยู่ในที่ต่ำ เวลาเราขึ้นไปชั้นสูงนี่เราจะไปทำความสะอาดบนเพดานบนอะไรนี่ เราต้องปีนบันไดขึ้นไปบนที่สูง เวลาเราขึ้นสูงเราก็ว่าเราสูง เวลาเราลงต่ำเราก็ว่าเราต่ำ

อันนี้ก็เหมือนกัน จิตเวลาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานมันก็เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน พอมันตายจากนั้นมันก็เกิดสูงเกิดต่ำ เกิดสูงเกิดต่ำจากจิตดวงเดียว เราก็เหมือนกัน จิตของเราเราก็เกิดสูง ๆ ต่ำ ๆ นี่ขนาดเกิดในวัฏฏะนะ แล้วเกิดในอารมณ์ของเราล่ะ อารมณ์มันพัฒนาขึ้นมานี่ ถ้าเกิดมันพัฒนา...วุฒิภาวะของใจ ใจพัฒนาขึ้นไปนี่มันพัฒนาขึ้นไป ถ้ามันพัฒนาธรรมดาของเรานี่ กบเฝ้ากอบัวกับไก่ได้พลอย มันเฝ้าอยู่เฉย ๆ มันเห็นคุณค่าแต่มันยังทำไม่ได้

แต่ถ้าเราทำของเราได้ขึ้นมา ทำของเราได้ เราเข้าถึงศาสนาไม่ใช่ไก่ได้พลอย ไม่ใช่กบเฝ้ากอบัว มันวิปัสสนาของมันจนว่ามันเป็นคนได้พลอย คนได้พลอยมันจะมีคุณค่าขึ้นมา มันจะซึ้งคุณค่าขึ้นมา นี่ใจมันพัฒนาขึ้นมา วุฒิภาวะของใจมันพัฒนา พัฒนาตรงไหนล่ะ? ตรงที่ว่าเราทำความสงบของเราเข้ามา พอความสงบของเราเข้ามามันได้ขึ้นมาจริง ๆ เอกัคคตารมณ์จิตนี้เป็นหนึ่ง

พอจิตนี้เป็นหนึ่งมันจะมีความสุขมาก มีความสุขมาก เห็นไหมได้พลอย พลอยเฉย ๆ ไง แต่คุณค่าของพลอยยังไม่ได้แลกเปลี่ยนออกมา เราได้พลอยมานี่ ถ้าเราไปแลกเปลี่ยนมาเราจะได้เงินออกมา เราได้สิ่งที่เราพอใจของเราออกมา

นี่ก็เหมือนกัน ในเมื่อจิตมันเป็นสมาธิ สัมมาสมาธิขึ้นมานี่ ถ้าเรายังค้นคว้าต่อไป เราแลกเปลี่ยนขึ้นไป ไปแลกเปลี่ยนออกมาเป็นเงินเป็นทอง เป็นสิ่งที่ว่าเป็นประโยชน์กับเรา มันจะได้ของเราขึ้นไปเป็นชั้น ๆ เข้าไป อันนี้ไม่ใช่ไก่ได้พลอย เป็นคนได้พลอย คนได้ธรรม คนได้คุณค่าขึ้นมาจากในศาสนา

เราเข้ามาในศาสนานี่เราพอใจของเรานะ พวกเรานี่ทุกข์ยาก เวลาอุตส่าห์ขวนขวายมา เราอุตส่าห์ขวนขวายพยายามพัฒนาตัวเองออกมา เพราะว่าถ้ามันนอนอยู่เฉย ๆ อาจารย์มหาบัวท่านพูดอยู่นะว่า “สงสารมากเวลาคนนอนหลับ” คนนอนหลับ เห็นไหม เอาอะไรไปกรอกเข้าไปนี่มันสำลักหมดเลย คนนอนหลับเหมือนคนที่มันไม่สนใจไง

แล้วเวลาคนนอนหลับนี่ อันนี้ว่าฝันดิบฝันสุกท่านก็ว่าอีก ฝันดิบฝันสุก เห็นไหม เวลาคนนอนฝันน่ะ ฝันไปเลยนี่ฝันสุก เวลาฝันดิบก็นี่ไง คนนอนหลับ มันคิดทั้งวัน คืนทั้งคืนอยู่กับความคิดของเรานี่ นี่คือความฝัน คือความเพ้อเจ้อ คือความไม่จริงน่ะฝันดิบ ฝันดิบ ๆ ความคิดทั้งวันนี่ คิดจะเผาตัวเองตลอดนี่ฝันดิบ พอฝันดิบขึ้นมามันก็ไม่ใช่ความจริง มันถึงต้องทำความสงบเข้ามา ให้ความฝันให้มันเป็นความจริง

สิ่งที่เป็นความจริง เห็นไหม ทำความสงบเข้ามาของใจ ไอ้นี่มันยังทำความสงบของใจไม่ได้ ไอ้ความฝันแบบฝันดิบนี่มันทำต่อต้านไง ต่อต้านในการกระทำของเรา อย่างเช่นจะมาวัดอย่างนี้ จะมาวัดเราจะทำคุณงามความดีนี่มันความต่อต้านจากภายใน “เสียเวลาเปล่า เรามีความทุกข์ยาก ไปแล้วได้ประโยชน์อะไรขึ้นมา”

นี่คนตื่นขึ้นมา คนตื่นขึ้นมาแล้วมันยังทำคุณงามความดีได้ ดีกว่านอนหลับอยู่นะ เขานอนหลับเหมือนกับคนเขาฝันดิบอยู่ เขาไม่รู้เรื่องอะไรของเขา แล้วเขาติเตียนเรา เราเวลากิเลสมันชักลงต่ำ น้ำไหลลงที่ต่ำ ความเห็นของเรามันจะชักลงไปทางที่ต่ำ พอชักลงที่ต่ำมันจะเอาสะดวกสบายไง ความสะดวกสบายนี้เป็นเรื่องของกิเลส ผู้ล่วงพ้นกิเลสได้ด้วยความเพียร ความเพียรของเราจะสะสมให้เราพัฒนาของเราขึ้นไป

แต่ความคิดของกิเลสมันจะเอาสุขสบาย แล้วจะเอาผลเร็ว ๆ ไง อย่างมาประพฤติปฏิบัตินี่ ปล่อยว่างวางเฉยจะทำอะไรก็ว่าปล่อยวาง ๆ พระพุทธเจ้าสอนให้ปล่อยวาง เราควรจะปล่อยวาง มันจะปล่อยวางอย่างนั้นมันปล่อยวางไม่ได้ ปล่อยวางไปแล้วมันก็เกิดมาอีก มันเกิดดับ ๆ มันปล่อยวางได้ด้วยความกดไว้ ความกดไว้นี่มันปล่อยวางชั่วคราว

แล้วปล่อยวางแล้วนี่ แล้วปล่อยว่างวางเฉย พอปล่อยวางแล้วนี่ เพราะมันคิดแต่เริ่มต้นว่าจะปล่อยวางใช่ไหม แล้วมันก็ปล่อยวางตามที่ว่ากิเลสมันหลอก กิเลสมันสร้างเรื่องขึ้นมาให้เราทำอย่างนั้น แล้วเราทำตามไป แล้วว่าได้ผล...ไก่ได้พลอย ไม่รู้คุณค่าไง ไม่รู้คุณค่ามันก็ไก่ได้พลอยอยู่อย่างนั้น

แต่ถ้าเป็นพัฒนาขึ้นมาเราไก่ได้พลอย แล้วย้อนกลับมาถึงว่าน้อมเข้ามาไง น้อมเข้ามาให้เป็นธรรมของเรา ย้อนกลับที่เรา เรายังไม่มั่นใจตรงนั้น เราต้องพัฒนาของเราขึ้นไป คือพิจารณาของเราตลอดไปว่ามันได้พลอยขึ้นมา พลอยจะแลกเปลี่ยนเป็นอะไรขึ้นมา ความแลกเปลี่ยนขึ้นไป เห็นไหม แลกเปลี่ยนกับใคร? แลกเปลี่ยนกับอะไร?

แลกเปลี่ยนกับความเห็นของเรา กิเลสมันเกิดดับใช่ไหม? แล้วเราอยู่ที่ไหน? ธรรมอยู่ที่ไหน? ธรรมกับกิเลสมันต้องต่อสู้กัน ความต่อสู้กันระหว่างธรรมกับกิเลสในหัวใจเราจะเกิดขึ้น ถ้าเราเป็นคนหมั่นค้นคว้าไง เราหมั่นค้นคว้าหมั่นตรวจสอบของเราตลอดเวลา พอตรวจสอบมันจะเห็นเข้ามาของมันเอง จริง ๆ แล้วพอมันสงบเข้ามานี่มันจะเห็นได้ด้วยอำนาจวาสนาบารมีก็มี

แต่สำหรับเรานี่มันมีแต่ความประมาท มันไม่มีความฉลาด เวลาจับได้อะไรขึ้นมานี่ มันหลุดมือไปไง มันจะหลุดมือออกไปเพราะมันเป็นนามธรรม แล้วเราไม่เคย เราลังเลสงสัย เราคิดของเราว่าควรจะเป็นอย่างนั้นแล้วเราทำของเราไป มันจะไม่สมประโยชน์ของเรา ไม่สมประโยชน์ของเรามันก็หลุดมือไป

ความผิดพลาดต้องมี การประพฤติปฏิบัติองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ๖ ปี เห็นไหม การศึกษามา การใคร่ครวญมา เพราะกิเลสในหัวใจเรามันจะเสี้ยมหลอกเราไปตลอด เวลาคำว่าหลอกเรานี่คนอื่นพูดเราก็คิดเอาเองว่ามันจะหลอกเราได้อย่างไร เราต้องรู้ทันมัน แต่เวลามันเกิดกับเรานี่เราไม่รู้ทันมันหรอก จะความฉลาดขนาดไหน ยิ่งฉลาดมากเท่าไหร่นะกิเลสมันก็อยู่หลังความฉลาดนั้น

มันคิดแต่หาทางว่าจะลัดจะหาช่องทางที่มันจะเอาตัวมันรอดให้ได้ มันเข้าใจว่ามันจะทำของมันได้ เห็นไหม มันเข้าใจว่าเพราะมันกับเราเป็นอันเดียวกัน กิเลสกับใจนี่เป็นเนื้อเดียวกัน เพราะมันพาใจนี้เกิดตาย ๆ กิเลสกับใจนี่มันผูกไปด้วยกันเลย มันผูกไปตลอด พอมันผูกไปตลอดนี่มันเป็นอนุสัยเกิดนอนเนื่องอยู่ในใจ ความคิดออกไปนี่ ภวาสวะเกิดขึ้น ภพของใจเกิดขึ้น ความคิดเกิดขึ้น

ถ้าภวาสวะเกิดขึ้นคือฐานที่ความเริ่มต้นความคิดมันมี มันก็คิดจากนั้นออกไป นั่นน่ะถ้าย้อนกลับมานี่ว่าคำว่า “ดูใจ ดูใจ” ดูใจนี่ ถ้าดูอยู่มันเป็นการเพ่งพินิจ คำว่าดูใจนะ ดูใจนี่มันเป็นกสิณ มันเป็นการเพ่งพินิจ มันไม่ใช่ มันต้อง “จับใจ” แล้วค้นคว้า พลอยนั้นน่ะพลิกดูแง่เหลี่ยมของพลอยนั้น พลอยนั้นควรจะทำอย่างไร ถ้าเป็นโลกเรานี่ พลอยนี้ทำลายไม่ได้ พลอยนี้มีคุณค่าเราต้องถนอมไว้

แต่ถ้าเป็นหลักธรรมของศาสนา พลอยนี้ต้องทุบทิ้งทำลาย แล้วใครจะกล้าทุบทิ้งทำลายพลอยเม็ดงามเม็ดนี้ ถ้าไม่ทุบทิ้งทำลาย สิ่งที่อยู่ในกลางเม็ดของพลอยนั้นคือเชื้อของกิเลส ถ้าทุบทิ้งทำลายนี่ทุบทิ้งทำลายถึงตรงจุดของพลอยเม็ดนั้น ทำลายมันออกไป กิเลสในพลอยนั้นมันจะหลุดออกไป

พลอยที่มันเป็นวัตถุหายไป แต่พลอยหรือว่าสิ่งที่เป็นความมหัศจรรย์ของใจมันจะเกิดขึ้นมาเพราะว่าเป็นนามธรรม อาหารที่เรากินมามื้อไหนที่ว่าอร่อยที่สุดเรานึกขึ้นมาเดี๋ยวนี้สิ เรานึกขึ้นมาจะเห็นภาพนั้นเลย สิ่งที่ฝังใจเราผูกใจเรา เรานึกขึ้นมาภาพนั้นจะสด ๆ ร้อน ๆ เลย อันนี้มันเป็นนามธรรม พลอยก็เหมือนกัน สิ่งที่เป็นพลอยเป็นเม็ดเป็นวัตถุนั้น เราต้องเก็บรักษาไว้ ลำบากลำบนมากต้องดูแลรักษา

แต่ถ้าเราทำลายนะ ทำลายพลอยในหัวใจนี่ ทำลายออกไป กิเลสมันออกไป สิ่งนี้เป็นนามธรรม แต่นามธรรมนี่เกิดสร้างสมเป็นรูปธรรมจับต้องกับใจได้ ฝังอยู่ที่ใจ เป็นไปกับใจ แต่เดิมใจกับกิเลสนี้ผูกกันเป็นเครื่องคู่เคียงกันไป พอทำลายพลอยเม็ดนั้นแล้วสิ่งที่เป็นคู่เคียงกันไป สิ่งนั้นโดนทำลายออกไปเพราะเราได้ทำลายพลอยเม็ดนั้น สิ่งนั้นมันอยู่ในกลางเม็ดของพลอยนั้น ได้หลุดออกไปจากใจ ใจนี้เอโก ธัมโมไง จิตนี้เป็นหนึ่งเดียว

เอโก ธัมโม จิตนี้เป็นเอก ธรรมนี้เป็นหนึ่งเดียวไม่มีสอง สิ่งใดโลกนี้เป็นของคู่ มีมืดมีสว่าง มีทุกข์มีสุขเป็นของคู่ทั้งหมด แต่เราทำลายสิ่งที่ว่ามันฝังอยู่ในหัวใจนั้นหลุดออกไป ใจดวงนั้นไม่มี ไม่มีสิ่งใด ๆ อยู่ในใจดวงนั้นเลย ไม่มีกิเลสเป็นคู่เคียงต่อไป ไม่มีสิ่งใดจะเป็นคู่เคียงกับใจดวงนั้น ใจดวงนั้นประเสริฐขึ้นมา นี่พลอยเม็ดงาม ๆ อยู่ในหัวใจ ถึงว่าไม่ใช่ไก่ได้พลอย อยู่ในหลักของศาสนาเรา

ในศาสนาพุทธสอนถึงสิ้นสุดของการทำลายกิเลสในหัวใจนั้น แต่ก่อนจะทำลายได้นี่มันก็ต้องเริ่มจากพวกเรานี่ ทาน ศีล ภาวนาไง ให้ทาน ให้ศีล ภาวนาเพื่อจัดความตระหนี่ถี่เหนียวของใจ จัดความสะดวกสบายของใจ เห็นไหม อยากจะอยู่เฉย ๆ อยากจะนอนที่บ้านเฉย ๆ นอนจมอยู่กับความคิดหมักหมมในหัวใจ หัวใจความคิดหมักหมมเหมือนน้ำเน่า น้ำที่ไม่ได้มีการหมุนเวียนเลย น้ำที่ไม่มีการถ่ายเทเลย มันต้องเสีย มันต้องเน่า เพราะไม่มีออกซิเจนเข้าไป

มีการถ่ายเท มีการออกมา เห็นไหมนี่ เรามีการถ่ายเท เราออกไปทำบุญกุศลนี่มันหมุนเวียนออกไป อารมณ์นี้หมุนเวียนออกไป บุญกุศลหมุนเวียนเข้าไปในหัวใจ เหมือนออกซิเจนเข้าไปในซอกใจของเรานี่ ใจมันเริ่มสะอาดขึ้นมา ๆ สะอาดด้วยอะไร? ด้วยธรรมของพระพุทธเจ้าไง ด้วยธรรม เห็นไหม นี่ฟังธรรมอยู่ ธรรมอันนี้ก็เข้าไปทำความเข้าใจกับใจ ใจมีความเข้าใจว่าสิ่งนั้นเป็นคุณ สิ่งนั้นเป็นประโยชน์

แต่เดิมว่าเราจะไปทำไม เราจะมีความทุกข์ยาก เขาอยู่บ้านกันเฉย ๆ ทั้งหมดเลย มีแต่พวกเรานี่เป็นคนอะไร ทำไมไม่อยู่บ้าน ทำไมต้องออกไปยุ่งกับเขาข้างนอก เห็นไหม ต้องออกไปข้างนอก บ้านไม่อยู่ ต้องไปทำบุญกุศลที่วัด ต้องไปอะไรนี่ อันนั้นเป็นกิเลสที่มันหมักหมมในใจ สิ่งนี้จะทำให้เรานอนจมอยู่ ให้ใจเราเป็นน้ำเน่า นี่หลับใหลไปกับกิเลสความคิดของเรา

แล้วเราหมุนเวียนออกมานี่ มันความสะอาดของใจ ออกซิเจนเข้าไปชำระล้างเข้าไป ความตระหนี่ถี่เหนียวออกไป ทำขึ้นไป...ทาน พอทานเข้าไป มีทานมีความเข้าใจในทาน มีศีล มีภาวนา มีภาวนาจนเห็นจับพลอยได้ไง นี่ไก่ได้พลอย ไก่ยังได้พลอย เห็นไหม แต่พอได้พลอยขึ้นมา แล้วถึงพิจารณากันไปว่าพลอยอันนี้เพราะมันเป็นสัตว์เดรัจฉานมันไม่รู้

เราเป็นมนุษย์เรารู้คุณค่าของพลอย เราถึงเอาพลอยนั้นไปแลกเปลี่ยน แลกเปลี่ยนคือการวิปัสสนา ให้แลกเปลี่ยนจากทำให้มันเป็นความจริงขึ้นมา ไม่ได้ทำที่มันเคลื่อนอยู่ในหัวใจ มันจะเป็นประโยชน์กับเรานะ ประโยชน์กับเราคือผู้ที่กระทำ ประโยชน์จากหัวใจที่ก้าวเดินดวงนั้น เป็นปัจจัตตังกับหัวใจดวงนั้น

ธรรมะนี้บุญกุศลถึงเป็นสิ่งมหัศจรรย์ เป็นทิพย์ ฝังอยู่ในใจของแต่ละดวง ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้ ไม่มีใครสามารถจะแย่งทำลาย สามารถจะตักตวงผลประโยชน์จากใจของดวงที่ผู้สร้างขึ้นมาได้เลย ถึงต้องเป็นของผู้ใดผู้ที่ผู้สะสมผู้สร้างสมขึ้นมา ถึงจะเป็นสมบัติของคนนั้นไง

เราเป็นคน แล้วเรามีหัวใจ เราเป็นชาวพุทธ เราถึงว่าเราเกิดมาท่ามกลางพุทธศาสนา เราเกิดมาแล้วเราถึงไม่ใช่ไก่ แล้วเราก็ไม่ใช่กบ แต่เราก็เอาสิ่งนั้นมาเป็นคติเตือนใจ จนพัฒนาขึ้นมาว่าเราเป็นมนุษย์ที่ได้พลอย มันถึงเป็นประโยชน์กับเราที่เราเกิดมาพบพระพุทธศาสนา ไม่เสียชาติเกิด เอวัง